การปฏิบัติธรรม

ปฏิบัติธรรมแล้วจะปรับทุกข์กับผู้อื่นน้อยลง
ระบายทุกข์กับผู้อื่นน้อยลง
ตัวเองจะเป็นที่พึ่งให้ตัวเองมากขึ้น
จากความอดทน สู่ความเข้าใจ จนไม่ต้องใช้ความอดทน
การเก็บจำ กลายเป็นไม่เก็บไม่จำ จนบางครั้งลืมได้ด้วย แม้เมื่อก่อนเราอาจจะใช้เวลาแสนนานกว่าเรื่องบางเรื่องจะไม่สามารถมีผลกับเราได้อีก

ธรรมะจริงๆ เป็นความรู้สึกภายในจิต ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องเถียง ไม่ต้องวัดถูกผิด เพราะเราต้องปฏิบัติเพื่อละถูกผิด และละถูกผิดได้แล้ว ก็ไม่อยากโต้ตอบ ไม่ถก ไม่เถียง
ต้องปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงความยุติในใจ ถ้ายังไม่ยุติ ก็ต้องปฏิบัติต่อไม่ต้องโต้เถียง ไม่ต้องเอาชนะ
เท่านี้เองหนอธรรมะ เป็นไปเพื่อยุติใจตัวเอง

ปฏิบัติธรรม ในความหวังของปุถุชน ถึงกัลยาณชน. ก็คือการทำสิ่งดีเพิ่มกุศล และเมื่อทำสิ่งที่เป็นกุศลสูงสุด ก็อาจจะสิ่งดีงาม ช่องทางดี เปิดทางสัมมาอาชีพ ค้าขายคล่องขึ้น  ยิ่งสายเทพ ก็เป็นวิถีหนทางให้ได้เปิดช่องสัญญานให้ทั้งติดต่อสื่อสาร รวมถึงรับพลังเทพบางอย่างมาใช้เกื้อกูลทางโลก
และถึงแม้ว่าปฏิบัติแล้ว มหากุศลอาจจะไม่ได้เกื้อกูลไปในทางรายได้ มหากุศลอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้ติดต่อสื่อสารกับเทพได้อย่างที่ปรารถนา ไม่ได้รับสิทธิหรือ พลังพิเศษใดๆ ก็จะมีปัญญาทำให้เข้าใจ และยอมรับได้ ว่าเป็นวิบากต้องเผชิญ และเราไม่ได้สร้างเหตุมา
จนเมื่อปัญญา และประสบการณ์การเข้าใจชีวิต วิบาก และทุกอย่าง ด้วยปัญญาของเราแก่กล้าขึ้น ก็จะพัฒนาเป็นปัญญาในระดับอริยชน ปฏิบัติแบบอริยชน เพื่อมรรคผล ขั้นที่สูงขึ้น และความหวังในทางโลกก็จะค่อยๆน้อยลง

คนมีความคิดว่า คนเชื่อเรื่องปาฏิหารย์ เป็นคนงมงาย
แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตและ เข้าใจเรื่องธรรมชาติของพลังจิตแล้ว อาจจะไม่ได้เรียกสิ่งที่คนอื่นเรียกว่า ปาฏิหารย์ว่าปาฏิหารย์ เพราะเค้าเห็นว่า ก็เป็นแค่ธรรมชาติเหมือนกันและมีปัญญาที่จะควบคุม ใช้ หรือ ไม่ใช้ในสถานการณ์ที่สมควรและเหมาะสม
พิสูจน์ไม่ได้เรียกว่า ไสยศาสตร์
พิสูจน์ได้ เรียกว่า วิทยาศาสตร์
วางสิ่งที่พิสูจน์ได้ และ พิสูจน์ไม่ได้ มีอุเบกขา เรียกว่า พุทธศาสตร์

ปฏิบัติไม่ใช่ให้ตัวเอง ไม่ผิด หรือให้ตัวเองถูก
ปฏิบัติเพื่อให้ตัวเอง พ้นถูกพ้นผิด หรือ พ้นตัวตนที่มันจะมาถูกมาผิด
อย่าอยู่กับความคิดมากหนอ มันยังมีถูกผิด เพราะยังมีเราอยู่กับการรู้ตามจริงที่เป็นปัจจุบัน มันไม่มีถูกผิด


วิปัสสนาวิธี ใช้สมาธิที่มีกำลังน้อย ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ แต่เหมาะสม เพราะไม่ต้องใช้กำลังอะไรมากที่จะรู้เห็นรูปนามต่อขณะที่เกิดขึ้น เช่น ท้องพอง จิตก็เข้าไปรู้อาการท้องพอง ( อารมณ์ปรมถ ) และใส่คำบริกรรม ( สมมุติบัญญัติ ) เข้าไประลึกรู้ตามอาการจริงที่เกิด ขณะนั้น  จิตแว๊บไปคิด ก็น้อมไปรู้อาการที่จิตแสดง ( อาการคิด ไม่ใช่เรื่องที่คิด ) และกำหนดคิดหนอ
ดังนั้น ขณิกสมาธิจึงมีกำลังพอแล้ว ได้พักพอแล้ว ที่จะอาศัยเพื่อให้จิตตั้งมั่นพอที่จะเห็นอาการของรูปและนามต่อหนึ่งขณะ

ในขณะที่ทำ เราไม่ได้ปรารถนาจะยับยั้งกิเลส ไม่ไล่ ไม่กด ไม่ข่มอาการ แต่มาดูตามจริงเพื่อให้จิตเก็บข้อมูลของอาการของรูปและนาม ที่เราเข้าไปหลงมันสองอย่างนี้รวมตัวเป็นการมีเรา
แต่สิ่งที่จะมีกำลังพอที่จะไปไล่ ชำระ ยับยั้งกิเลส คือ สิ่งที่เราทำทุกๆขณะด้วย ขณิกสมาธิและการทำมหาสติ คือ มีสติเข้าไปรู้อาการของรูปนามตามจริง ต่อเนื่องจนมีกำลังเหมือนอิฐแต่ละก้อนต่อกันจนเป็นกำแพง จนเป็นอัปนาสมาํธิ ญานรู้ ที่ชื่อว่าวิปัสสนาญานจะเกิดให้รู้ให้เห็นอย่างชัดเจน ( รู้เห็นจริงๆ แต่อาจจะชั่วขณะและยังไม่ได้ถอดถอนกิเลสอะไรเลยให้เราได้รู้สึก ) และกำลังสมาธิที่มาก นิวรณ์ พวกความคิดฟุ้ง โกรธ ก็ระงับได้เหมือนกันกับตอนทำสมถะ ที่มุ่งเน้นเพื่อจะระงับสิ่งเหล่านี้โดยตรง แต่ของวิปัสสนา ระงับสิ่งเหล่านี้เป็นอานิสงค์ ผลของการที่มีสติรู้รูปนามอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ทำ ถ้ามันยังคิดยังฟุ้ง ให้ดูว่าสติยังทันปัจจุบัน ยังเห็นอาการ ยังเห็นเกิดดับ ( สำหรับผู้ที่ได้ญานเห็นเกิดดับแล้ว ) หรือไม่ ถ้ายังรู้อยู่ ก็ยังไม่ได้ทำนอกตำราหนอ เพียงแต่มันยังไม่ต่อเนื่องจนเป็นกำลังพอให้เรารู้สึกว่ากิเลสมันสงบลง
จนบางครั้งเราอาจเหนื่อยและท้อใจว่าเราทำผิดทาง จึงต้องคอยปรับความเข้าใจในเรื่องของการเจริญวิปัสสนาวิธีกับครูบาอาจารย์หรือท่านผู้มีความรู้เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาที่ตกถดถอยเพราะเข้าใจกระบวนการผิดไป






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีการจัดชั้นเรียนหมิงเต๋อปันในแต่ละครั้ง

ปฐมนิเทศน์ธรรม

การฝึกอภิญญา